
ความขัดแย้ง
พรมแดนจีน-โซเวียต
Sino-Soviet border conflict
เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านควรเปิดเพลงฟังไปด้วยนะครับ
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้วนั้น คงจะเคยคิดกันว่าสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทั้งสองเป็นประเทศมีลัทธิการปกครองแบบสังคมนิยมเหมือนกัน คงจะเป็นพันธมิตรกันเพื่อเป็นสองมหาอำนาจสังคมนิยมของโลก ช่วยกันขยายลัทธินี้ให้กว้างใหญ่ไพศาลไปทั่วโลก และคงจะไม่มีวันที่จะรบกันเองแน่นอน
แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก็เริ่มแตกร้าวขึ้นทีละนิดทีละน้อย อันเนื่องว่าจากความคิดในระบบคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างกัน โซเวียตนั้นเน้นการส่งเสริมกรรมกร ส่วนจีนนั้นเน้นส่งเสริมชาวนา ทั้งสองฝ่ายจึงกล่าวหากันว่าลัทธิสังคมนิยมของแต่ละฝ่ายไม่ถูกต้อง โดยโซเวียตกล่าวหาว่าจีนเป็นพวกลัทธิ"คัมภีร์" ส่วนจีนก็กล่าวหาโซเวียตว่าเป็นพวก"ลัทธิแก้" เป็นสังคมนิยมจอมปลอมที่ยังมีระบบนายทุนอยู่ เมื่อความขัดแย้งสะสมขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เป็นการยากนัก เมื่อเกิดปัญหาเรื่องแย่งชิงพรมแดนกันขึ้น ทหารต่างฝ่ายจะเห็นกันเป็นศัตรูต่างจากที่เคยเห็นว่าเป็นมิตร และจับปืนยิงต่อสู้กันในที่สุด
แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก็เริ่มแตกร้าวขึ้นทีละนิดทีละน้อย อันเนื่องว่าจากความคิดในระบบคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างกัน โซเวียตนั้นเน้นการส่งเสริมกรรมกร ส่วนจีนนั้นเน้นส่งเสริมชาวนา ทั้งสองฝ่ายจึงกล่าวหากันว่าลัทธิสังคมนิยมของแต่ละฝ่ายไม่ถูกต้อง โดยโซเวียตกล่าวหาว่าจีนเป็นพวกลัทธิ"คัมภีร์" ส่วนจีนก็กล่าวหาโซเวียตว่าเป็นพวก"ลัทธิแก้" เป็นสังคมนิยมจอมปลอมที่ยังมีระบบนายทุนอยู่ เมื่อความขัดแย้งสะสมขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เป็นการยากนัก เมื่อเกิดปัญหาเรื่องแย่งชิงพรมแดนกันขึ้น ทหารต่างฝ่ายจะเห็นกันเป็นศัตรูต่างจากที่เคยเห็นว่าเป็นมิตร และจับปืนยิงต่อสู้กันในที่สุด
"ความขัดแย้งทางความคิดอันแตกต่างในลัทธิคอมมิวนิสต์
นำมาสู่การเผชิญหน้าทางทหารเรื่องพรมแดนในที่สุด"
ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน กับ สหภาพโซเวียต ในปี1969 ซึ่งในที่สุดได้นำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธที่พรมแดนที่เป็นกรณีพิพาทในที่สุด นับว่าถึงจุดเดือดในเรื่องความแตกแยกกันระหว่างจีนกับโซเวียต
การปะทะกันอย่างจริงจังและรุนแรงที่สุดนั้น เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ปี1969 ที่เกาะเฉินเปา (Zhenbao Island) ในภาษาจีน ส่วนคนรัสเซียรู้จักกันในขื่อว่า เกาะดาแมนสกี้ (Damanskii Island)
ต่อมาหลังจากสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลง รัสเซียได้ให้เกาะทั้งหมดแก่จีน เป็นสะพานไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ให้กลับมาเหมือนเดิมและแนบแน่นยิ่งขึ้น
ความตีงเครียดที่พรมแดน (Border tensions)
ความสัมพันธ์ของจีนกับโซเวียตเริ่มส่อเค้าจะเลวร้ายลง ในช่วงปลายทศวรรษที่1950 จนถึงช่วงต้นทศวรรษที่1960 ซึ่งดินแดนที่เกิดความตึงเครียดตามพรมแดนของทั้งสองประเทศ รวมเป็นความยาวได้กว่า 4,380กิโลเมตร หรือ 2,738ไมล์ เหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี1962 เมื่อชนกลุ่มน้อยอุยฆูร์(Uighurs) ในมลฑลซินเจียง (Xinjiang) ของจีน จำนวนกว่า 6 หมื่นคน ได้เดินทางข้ามชายแดนเข้าไปในสหภาพโซเวียต
โดยพวกเขาอพยพออกมาเนื่องมาจากประสบภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และอาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากนโยบายของคนจีน ทางปักกิ่งได้กล่าวว่าสหภาพโซเวียตให้การรับรองพวกอุยฆูร์นี้เป็นพลเมืองของตน แต่ทางโซเวียตก็ไม่มีท่าทีอะไรออกมา เพื่อการส่งกลับชาวอุยฆูร์เหล่านี้แต่อย่างใด สร้างความขุ่น เคืองใจแก่ทางจีนเป็นอย่างมาก
ชนกลุ่มน้อยอุยฆูร์ในจีน
ท่ามกลางความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้น สหภาพโซเวียตและจีนจึงเริ่มเปิดการพูดคุยกันเรื่องพรมแดน(border talks) พรมแดนของจีนในตอนนี้นั้นถือตามตามสนธิสัญญาฉบับเก่า (old border treaties) ซึ่ง เป็นสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าอาณาจักรชิง (Qing Empire) กับซาร์รัสเซีย (Tsarist Russia)นั้น จีนเห็นว่าไม่เป็นธรรมสำหรับอาณาเขตของจีน
เพราะเสมือนการมัดมือมัดเท้าจีนหรืออาณาจักรชิงในขณะนั้นให้ยอมทำสนธิสัญญาฉบับนี้ เนื่องด้วยเพราะเกรงอำนาจของหมีขาวรัสเซีย ซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! (ถึงตอนนี้ก็ยังใหญ่อยู่ดีละฟะ) อาณาจักรชิงจึงต้องยอมรับสัญญาฉบับนี้อย่างเจ็บใจ แต่ทางมอสโคว์ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาหรือแสดงท่าทีอะไรออกมาแต่อย่างใด ต่อข้อประท้วงของจีนในการพูดคุยกันครั้งนี้
แผนที่อาณาจักรชิงในปี 1890 ส่วนสีน้ำตาลอ่อน
ถึงกระนั้นในปี 1964 ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการเจรจาตกลงกันขั้นต้น ในเรื่องเขตในพรมแดนด้านตะวันออก ซึ่งรวมทั้งปัญหาเรื่องเกาะเฉินเบาซึ่งได้ตกลงกันให้อยู่ในความครอบครองของจีน ทว่าในเดือนกรกฏาคมปี1964 ประธานฯเหมา เจ๋อ ตง ได้พบปะกับตัวแทนสังคมนิยมของญี่ปุ่น และได้ชี้แจงว่าอาณาจักรซาร์รัสเซียนั้นได้ปอกลอกเอาดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล เช่น ไซบีเรีย (Siberia),ตะวันออกไกล (Far East) และคาบสมุทรคามชาสก้า (Kamchatka) ไปจากจีน
ซึ่งเหมาตอบอย่างเจ็บใจว่าจีนยังไม่พร้อมที่จะประกาศเรื่องนี้ แต่สุดท้ายข่าวเรื่องนี้ก็รั่วออกไปสู่สาธารณชนจนได้ นายนิกิต้า ครุสเชฟ (Nikita Khrushchev ) ผู้นำของโซเวียตได้ออกมากล่าวปฏิเสธ ว่าจีนไม่มีดินแดนตามข่าวที่กล่าวอ้าง
การปะทะกันที่พรมแดน ปี1969 (Border conflict of 1969)
ทหารจีนกำลังเอาไม้แหย่รูลูกปืนที่ทะลุหมวกเหล็กทหารโซเวียตเล่น
ในระหว่างที่เกิดความขัดแย้งนี้ขึ้นนั้น กำลังพลของทั้งสองฝ่ายมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ตั้งแต่หลังปี1964เป็นต้นมานั้น ฝ่ายโซเวียตพยายามเพิ่มจำนวนทหารของตนในกองทัพให้มากขึ้น และเมื่อโซเวียตได้บุกเข้าไปจัดการการลุกฮือของประชาชนในเชกโกสโลวะเกียในปี 1968 ทำนองเดียวกับตอนที่โซเวียตบุกเข้าไปในกรุงบูดาเปสต์เมืองหลวงของฮังการีในปี1956 ก็ยิ่งทำให้จีนเกิดความระแวงในโซเวียตมากขึ้น ราวกับมองเพื่อนบ้านกลับเป็น"ศัตรู"
จนถึงกับต้องวางยุทธศาสตร์ในการรบสำหรับต่อต้านการรุกรานของโซเวียตไว้โดยเฉพาะ เรียกว่า""การตั้งรับอย่างแข็งแกร่ง" ("active defense") ด้วยการสร้าง "พื้นที่ว่างเมื่อเริ่มบุก"(pre-emptive strike)* เป็นแห่งเล็กๆตามจุดต่างๆขนานไปตามพรมแดน ซึ่งฝ่ายจีนมั่นใจว่าหากถูกโจมตีโดยฉับพลันแล้ว จะเป็นอุปสรรค์ต่อการเคลื่อนทัพของฝ่ายโซเวียตเป็นแน่
ด้วยยุทธศาสตร์นอกแบบของจีน จึงได้บังเกิดสัมฤทธิ์ผลในวันที่ 2 มีนาคม ปี1969 เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งของจีนได้ทำการซุ่มโจมตีทหารรักษาชายแดนโซเวียตบนเกาะเฉินเบายังผลให้ทหารโซเวียตสูญเสียเป็นอันมากคือตาย 31นาย บาดเจ็บอีก 14นาย ฝ่ายโซเวียตจึงแก้เผ็ดจีนบ้าง ในวันที่15 มีนาคมด้วยการทิ้งระเบิดถล่มกลุ่มทหารจีน ที่กำลังรวมพลกันอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำอัสซูรี (bank of the Ussuri) และโหมบุกกระหน่ำเข้าไปในเกาะดาแมนสกี้/เกาะเฉินเบา
หยาง หลิน(Yang Lin)วีรบุรุษแห่งเกาะเฉินเปา
บนโปสเตอร์ของจีนปี1969 คลิกที่รูปเพื่อขยายภาพครับ(ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ต่อไปหากเจอคำว่าเกาะดาแมนสกี้,เกาะเฉินเบาก็ขอให้เข้าใจว่า มันก็คือเกาะอันเดียวกันนั้นแหละแค่เรียกกันคนละชื่อ) โดยฝ่ายโซเวียตอ้างว่าฝ่ายจีนเสียทหารไปประมาณ 800กว่าคน ส่วนฝ่ายตนนั้นเสียทหารทั้งที่ตายและบาดเจ็บไปเพียง 60คน ส่วนฝ่ายจีนก็อ้างไปคนละแบบกับพี่หมีไปเลย คืออั๊ว(จีน)ว่าอั๊วเสียทหารไปจำนวน
น้อยกว่าลื้อ(โซเวียต)ที่ตายไปเยอะแยะ สุดท้ายก็เลยไม่รู้ว่าใครพูดจริงหรือว่าโกหกทั้งคู่???
การปะทะกันที่พรมแดนเพื่อยึดพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนสิงหาคม ปี1969 ตามพรมแดนด้านตะวันตกของจีนและโซเวียต โดยเฉพาะที่มลฑลซินเจียงฝ่ายจีนต้องสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก จนคิดกันไปถึงว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับโซเวียตในครั้งนี้ อาจจะนำไปสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์(nuclear weapon ) ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีครอบครองอยู่ก็เป็นได้(จีนเป็นน้องใหม่พึ่งทำนิวเคลียร์ได้ เลยมีนิวเคลียร์น้อยกว่าของโซเวียตที่เป็นผู้สอนทำ) โดยมีลางเป็นนัยๆว่าทางมอสโคว์มีความเอาจริง! ที่อาจจะทำให้จีนโดนนิวเคลียร์ของโซเวียตเป็นแห่งแรก
ทหารชายแดนโซเวียตที่เกาะเฉินเปากำลังอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์
แต่ในที่สุดทั้งมอสโคว์และปักกิ่งก็ได้พยายามที่จะให้การปะทะกันในครั้งนี้ อยู่ในวงจำกัดไม่ลุกลามใหญ่โตจนขยายเป็นการสู้รบขนาดใหญ่ ดังนั้นในวันที่ 11 กันยายน ปี1969 นายกรัฐมนตรี อเล็กเซ่ โคชิกิ้น(Aleksei Kosygin) ซึ่งเพิ่งกลับมาจากการเข้าร่วมพิธีศพของผู้นำเวียดนามประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ได้แวะเข้ากรุงปักกิ่งเพื่อเข้าพบกับ โจว เอินไหล
(Zhou Enlai) ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความเย็นขากันของประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งสอง
กล่าวคือทางการจีนไม่ได้ให้การต้อนรับนายกฯของโซเวียตผู้นี้อย่างแต่ก่อน การพูดคุยกันของนายกฯทั้งสองจึงทำกันที่สนามบินปักกิ่งมันนั้นแหละ โดยได้พูดกันเรื่องการส่งตัวเอกอัครราชทูตของทั้งสองประเทศกลับสถานทูตของตน (ก่อนหน้านี้ได้ถูกเรียกตัวกลับประเทศ เมื่อเกิดการปะทะกันที่พรมแดนขึ้น) และเรื่องการเริ่มเจรจากันเบื้องต้นในปัญหาพรมแดน
โลงศพทหารชายแดนโซเวียตที่เสียชีวิต
ผลหลังจากการปะทะกันในปี 1969(Consequences of 1969)
เกาะเฉินเปาตั้งอยู่บนแม่น้ำอัสซูรี ซึ่งเล็กไม่ถึง
หนึ่งตารางกิโลเมตร(ไม่รู้จะแย่งกันไปทำไม)
คลิกที่รูปเพื่อขยายครับ
หนึ่งตารางกิโลเมตร(ไม่รู้จะแย่งกันไปทำไม)
คลิกที่รูปเพื่อขยายครับ
ผลหลังจากการปะทะกันของจีนและโซเวียตนั้น นักประวัติศาสตร์ฝั่งตะวันตกและของโซเวียตได้กล่าวว่า นับตั้งแต่การปะทะกันที่เกาะเฉินเปาไปจนถึงมณฑลซินเจียง ได้ทำให้นโยบายทางการเมืองและการต่างประเทศของเหมาเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก นั้นคือการหันไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจีนจะยอมญาติดีด้วย เค้าไม่ใช่ใครที่ไหนไกลหรอกครับ เพราะประเทศที่ว่านี้คือสหรัฐอเมริกานั้นเอง!
ใบประกาศเกียรติคุณวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต
จ่าสิบเอก วาย.วี.บาบานสกี้ (คลิกที่ภาพเพื่อขยายครับ)
จ่าสิบเอก วาย.วี.บาบานสกี้ (คลิกที่ภาพเพื่อขยายครับ)
นักประวัติศาสตร์โซเวียตกล่าวว่าการที่สาธารณรัฐประชาชนจีนหันไปจับมือกับสหรัฐอเมริกา นับเป็นการรวมพลังกันของมหาอำนาจที่น่าตกใจยิ่ง เมื่อทั้งสองประเทศนี้ต่างมีการปกครองกันคนละระบบที่เคยเป็นศัตรูกันมาตลอด เรียกได้ว่าเป็นการจับคู่ของสองสิ่งที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว ดังนั้นตั้งแต่เมื่อการปะทะกันในระดับท้องถิ่นที่พรมแดน ก็เป็นการส่งสัญญาณของจีนว่าพร้อมที่จะพูดคุยกับสหรัฐฯที่ห่างเหินกันไกลมานาน
เมื่อกรณีพิพาทสงบลงแล้ว สหรัฐก็ได้แสดงที่จะร่วมมือกันเป็น"สองผู้ยิ่งใหญ่"กับรัฐบาลจีน ด้วยการเริ่มการเยือนจีนแบบลับๆของนายเฮนรี่ คิสซิสเจอร์(Henry Kissinger)โดยเขาได้พบปะกับนายกฯโจว เอินไหลของจีนในปี1971 ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของการทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่โซเวียตไม่สามารถระเบิดให้พังได้ นั้นคือการเยือนจีนของประธานาธิบดีสหรัฐฯนายริดชาร์ด นิกสั้น(Richard Nixon) เพื่อพบปะจับมือกับประธาน เหมา เจ๋อตง(Mao Zedong) ในปี1972 โดยเรียกกันโดยทั่วไปว่า"การเจริญสัมพันธไมตรีด้วยปิงปอง"(ping pong diplomacy) จีนได้ลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับโซเวียตลงเป็นอันมาก หลังจากการปะทะกันที่พรมแดน แม้จะได้มีการเจรจากันในปัญหาเรื่องพรมแดนในปี1969ไปแล้วก็ตามแต่ เพราะปัญหานี้ยังคงอยู่อีกนานนับสิบๆปี
ภาพแห่งประวัติศาสตร์เมื่อริคชาร์ด นิกสันได้จับมือกับเหมา เจ๋อตง
ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความแตกตื่นกันไปทั่วโลก
ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความแตกตื่นกันไปทั่วโลก
หลังจากนั้นก็ยังมีเหตุการณ์ที่ส่อแววจะทำให้เกิดสงครามอยู่รำไร เช่นตลอดระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม(Cultural Revolution)ในประเทศจีน หลังจากเหตุการณ์ที่เกาะเฉินเบาฝ่ายจีนได้เตรียมปฏิบัติการทางทหารอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีการคาดหมายว่ารัฐมนตรีกลาโหม หลิน เปียว(Lin Biao) จะได้เป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากประธานเหมา โซเวียตจึงได้เพิ่มจำนวนทหารทั้งตามพรมแดนที่ติดต่อกับจีนและในมองโกเลียให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมาจีนและสหภาพโซเวียตก็เผชิญหน้ากันมากกว่าเดิม ไปจนสิ้นสุดสงครามเย็นโน้นเลยทีเดียว
แต่ทุกอย่างเมื่อมีเกิดก็ต้องมีสิ้นสุดเมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลงเป็นการปิดฉาก อาณาจักรคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกลง ในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จนนำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ เป็นระดับปกติและแนบแน่นขึ้นดังเช่นทุกวันนี้
| ความขัดแย้งพรมแดนจีน-โซเวียต | |||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของ: สงครามเย็น | |||||||
| |||||||
| คู่สงคราม | |||||||
สาธารณรัฐประชาชนจีน | สหภาพโซเวียต | ||||||
| ผู้บัญชาการ | |||||||
เหมา เจ๋อ ตง | เลโอนิด เบรเนฟ | ||||||
| กำลังพล | |||||||
814,000 คน | 658,000 คน | ||||||
| ความสูญเสีย | |||||||
บาดเจ็บและสูญเสียรวม 800 นาย (ประมาณการของโซเวียต) เสียชีวิต 68 นายที่เกาะเฉินเปา | เสียชีวิต 31 นาย บาดเจ็บ 14 นาย (เฉพาะที่เกาะเฉินเปา) รถบรรทุกถูกทำลาย 1 คัน รถบัญชาการถูกทำลาย 1 คัน รถถังที-62 ถูกยึด 1 คัน | ||||||
บรรณานุกรม
ทวีป วรดิลก,ประวัติศาสตร์จีน
และเว็ป Tanarmy ที่ได้กรุณาแปลไว้ให้แล้วอย่างสูงครับ ขอบคุณมาๆครับ













ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น