วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กองทัพสหรัฐจะใช้ CryEngine 3 ในการฝึกทหาร !!!




กองทัพสหรัฐจะใช้ CryEngine 3 ในการฝึกทหาร !!!



เรียกว่าพัฒนากันไม่หยุดเลยทีเดียวกับเทคโนโลยีการทหารในโลกเราทุกวันนี้ นอก
ทางอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆแล้ว กองทัพสหรัฐอเมริกามองข้ามไปอีกขั้นในการฝึกกำลังพลของตนให้มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลาด้วยวิธีล้ำๆอีกต่างหาก จะว่าไปแล้ว

การใช้เครื่องมือสร้างเกมเพื่อการฝึกกำลังพลก็ไม่ใช่แนวความคิดใหม่แต่อย่างไร โดยการที่ทหารสามารถฝึกการใช้อุปกรณ์การทหาร เช่นรถถังในสภาพจำลอง หรือ การให้ทหารเล่นเกมแนว FPS แข่งกันเราก็เห็นมาแล้ว แต่หากคราวนี้กองทัพสหรัฐมีแนวคิดที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีก โดยการนำ เครื่องมือสร้างเกมอย่าง CryEngine 3 ซึ่งโด่งดังมาจาก เกม PC ที่มีชื่อว่า Crysis มาช่วยทำให้สภาพแวดล้อมในสนามรบ เสมือนจริงมากยิ่งขึ้น บวกกับความสามารถในการเรียนแบบหลัก Physic ยิ่งทำให้ผู้รับการฝึกนั้นได้ประสบการณ์ที่ใกล้เคียงยิ่งขึ้น


Crysis 3 เกมส์ที่ถูกพัตนาโดย CryEngine 3

รูปแบบในการฝึกครั้งนี้มีชื่อว่า Dismounted  Soldier Training System (DSS) ซึ่งจะแตกต่างจากการจำลองการฝึกแบบอื่นๆ คือ ผู้ฝึกนั้นจะต้องสวมอุปกรณ์ภาคสนามให้สมจริง พร้อมกับอุปกรณ์เช่นกล้อง เครื่องสร้างความรู้สึก และเซ็นเซอร์ต่างๆ  โดยต้องยืนอยู่บนฐานความกว้างประมาณ10×10 ฟุต ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวต่างๆรายล้อมอยู่



Dismounted  Soldier Training System

นี่จะหมายความว่า ผู้รับการฝึกจะได้รับประสบการณ์การเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ยื่นหรือนั่งอยู่หน้าจอภาพเท่านั้น โปรแกรมยังฉายภาพลงไปบนแว่นตาของผู้ฝึกเพื่อความมีมิติที่เสมือนจริงอีกต่างหาก
รูปแบบ DSTS นี้คาดว่าจะถูกนำมาใช้งานอย่างเป็นทางการภายในปีหน้า และมีรูปแบบการฝึกของหน่วยต่างๆมากกว่าร้อยแบบ

Dismounted  Soldier Training System  (ตัวอย่าง ของตัวเกมส์ที่ใช้ในการฝึกทหาร )

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความขัดแย้งพรมแดนจีน-โซเวียต (สงครามเย็น)

                                                                      สาธารณรัฐประชาชนจีนสหภาพโซเวียต




                
                                     
                                     ความขัดแย้ง                                       

      พรมแดนจีน-โซเวียต     

 Sino-Soviet border conflict



เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านควรเปิดเพลงฟังไปด้วยนะครับ


    สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้วนั้น คงจะเคยคิดกันว่าสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทั้งสองเป็นประเทศมีลัทธิการปกครองแบบสังคมนิยมเหมือนกัน คงจะเป็นพันธมิตรกันเพื่อเป็นสองมหาอำนาจสังคมนิยมของโลก ช่วยกันขยายลัทธินี้ให้กว้างใหญ่ไพศาลไปทั่วโลก และคงจะไม่มีวันที่จะรบกันเองแน่นอน

     แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก็เริ่มแตกร้าวขึ้นทีละนิดทีละน้อย อันเนื่องว่าจากความคิดในระบบคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างกัน โซเวียตนั้นเน้นการส่งเสริมกรรมกร ส่วนจีนนั้นเน้นส่งเสริมชาวนา ทั้งสองฝ่ายจึงกล่าวหากันว่าลัทธิสังคมนิยมของแต่ละฝ่ายไม่ถูกต้อง โดยโซเวียตกล่าวหาว่าจีนเป็นพวกลัทธิ"คัมภีร์" ส่วนจีนก็กล่าวหาโซเวียตว่าเป็นพวก"ลัทธิแก้" เป็นสังคมนิยมจอมปลอมที่ยังมีระบบนายทุนอยู่ เมื่อความขัดแย้งสะสมขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เป็นการยากนัก เมื่อเกิดปัญหาเรื่องแย่งชิงพรมแดนกันขึ้น ทหารต่างฝ่ายจะเห็นกันเป็นศัตรูต่างจากที่เคยเห็นว่าเป็นมิตร และจับปืนยิงต่อสู้กันในที่สุด

"ความขัดแย้งทางความคิดอันแตกต่างในลัทธิคอมมิวนิสต์
นำมาสู่การเผชิญหน้าทางทหารเรื่องพรมแดนในที่สุด"



ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน กับ สหภาพโซเวียต ในปี1969 ซึ่งในที่สุดได้นำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธที่พรมแดนที่เป็นกรณีพิพาทในที่สุด นับว่าถึงจุดเดือดในเรื่องความแตกแยกกันระหว่างจีนกับโซเวียต
     การปะทะกันอย่างจริงจังและรุนแรงที่สุดนั้น เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ปี1969 ที่เกาะเฉินเปา (Zhenbao Island) ในภาษาจีน ส่วนคนรัสเซียรู้จักกันในขื่อว่า เกาะดาแมนสกี้ (Damanskii Island)
     ต่อมาหลังจากสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลง รัสเซียได้ให้เกาะทั้งหมดแก่จีน เป็นสะพานไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ให้กลับมาเหมือนเดิมและแนบแน่นยิ่งขึ้น


     
          ความตีงเครียดที่พรมแดน (Border tensions)

แสตมป์ที่ระลึกของจีน ในการรบที่เกาะเซนเบาจัดทำเมื่อปี1970


     ความสัมพันธ์ของจีนกับโซเวียตเริ่มส่อเค้าจะเลวร้ายลง ในช่วงปลายทศวรรษที่1950 จนถึงช่วงต้นทศวรรษที่1960 ซึ่งดินแดนที่เกิดความตึงเครียดตามพรมแดนของทั้งสองประเทศ รวมเป็นความยาวได้กว่า 4,380กิโลเมตร หรือ 2,738ไมล์ เหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี1962 เมื่อชนกลุ่มน้อยอุยฆูร์(Uighurs) ในมลฑลซินเจียง (Xinjiang) ของจีน จำนวนกว่า 6 หมื่นคน ได้เดินทางข้ามชายแดนเข้าไปในสหภาพโซเวียต
     โดยพวกเขาอพยพออกมาเนื่องมาจากประสบภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และอาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากนโยบายของคนจีน ทางปักกิ่งได้กล่าวว่าสหภาพโซเวียตให้การรับรองพวกอุยฆูร์นี้เป็นพลเมืองของตน แต่ทางโซเวียตก็ไม่มีท่าทีอะไรออกมา เพื่อการส่งกลับชาวอุยฆูร์เหล่านี้แต่อย่างใด สร้างความขุ่น    เคืองใจแก่ทางจีนเป็นอย่างมาก

ชนกลุ่มน้อยอุยฆูร์ในจีน
     
      ท่ามกลางความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้น สหภาพโซเวียตและจีนจึงเริ่มเปิดการพูดคุยกันเรื่องพรมแดน(border talks) พรมแดนของจีนในตอนนี้นั้นถือตามตามสนธิสัญญาฉบับเก่า (old border treaties) ซึ่ง เป็นสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าอาณาจักรชิง (Qing Empire) กับซาร์รัสเซีย (Tsarist Russia)นั้น จีนเห็นว่าไม่เป็นธรรมสำหรับอาณาเขตของจีน
     เพราะเสมือนการมัดมือมัดเท้าจีนหรืออาณาจักรชิงในขณะนั้นให้ยอมทำสนธิสัญญาฉบับนี้ เนื่องด้วยเพราะเกรงอำนาจของหมีขาวรัสเซีย ซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! (ถึงตอนนี้ก็ยังใหญ่อยู่ดีละฟะ) อาณาจักรชิงจึงต้องยอมรับสัญญาฉบับนี้อย่างเจ็บใจ แต่ทางมอสโคว์ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาหรือแสดงท่าทีอะไรออกมาแต่อย่างใด ต่อข้อประท้วงของจีนในการพูดคุยกันครั้งนี้

แผนที่อาณาจักรชิงในปี 1890 ส่วนสีน้ำตาลอ่อน

                                                                                             
      ถึงกระนั้นในปี 1964 ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการเจรจาตกลงกันขั้นต้น ในเรื่องเขตในพรมแดนด้านตะวันออก ซึ่งรวมทั้งปัญหาเรื่องเกาะเฉินเบาซึ่งได้ตกลงกันให้อยู่ในความครอบครองของจีน ทว่าในเดือนกรกฏาคมปี1964 ประธานฯเหมา เจ๋อ ตง ได้พบปะกับตัวแทนสังคมนิยมของญี่ปุ่น และได้ชี้แจงว่าอาณาจักรซาร์รัสเซียนั้นได้ปอกลอกเอาดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล เช่น ไซบีเรีย (Siberia),ตะวันออกไกล (Far East) และคาบสมุทรคามชาสก้า (Kamchatka) ไปจากจีน
     ซึ่งเหมาตอบอย่างเจ็บใจว่าจีนยังไม่พร้อมที่จะประกาศเรื่องนี้ แต่สุดท้ายข่าวเรื่องนี้ก็รั่วออกไปสู่สาธารณชนจนได้ นายนิกิต้า ครุสเชฟ (Nikita Khrushchev ) ผู้นำของโซเวียตได้ออกมากล่าวปฏิเสธ ว่าจีนไม่มีดินแดนตามข่าวที่กล่าวอ้าง


การปะทะกันที่พรมแดน ปี1969 (Border conflict of 1969)


ทหารจีนกำลังเอาไม้แหย่รูลูกปืนที่ทะลุหมวกเหล็กทหารโซเวียตเล่น


ในระหว่างที่เกิดความขัดแย้งนี้ขึ้นนั้น กำลังพลของทั้งสองฝ่ายมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ตั้งแต่หลังปี1964เป็นต้นมานั้น ฝ่ายโซเวียตพยายามเพิ่มจำนวนทหารของตนในกองทัพให้มากขึ้น และเมื่อโซเวียตได้บุกเข้าไปจัดการการลุกฮือของประชาชนในเชกโกสโลวะเกียในปี 1968 ทำนองเดียวกับตอนที่โซเวียตบุกเข้าไปในกรุงบูดาเปสต์เมืองหลวงของฮังการีในปี1956 ก็ยิ่งทำให้จีนเกิดความระแวงในโซเวียตมากขึ้น ราวกับมองเพื่อนบ้านกลับเป็น"ศัตรู"
     จนถึงกับต้องวางยุทธศาสตร์ในการรบสำหรับต่อต้านการรุกรานของโซเวียตไว้โดยเฉพาะ เรียกว่า""การตั้งรับอย่างแข็งแกร่ง" ("active defense") ด้วยการสร้าง "พื้นที่ว่างเมื่อเริ่มบุก"(pre-emptive strike)* เป็นแห่งเล็กๆตามจุดต่างๆขนานไปตามพรมแดน ซึ่งฝ่ายจีนมั่นใจว่าหากถูกโจมตีโดยฉับพลันแล้ว จะเป็นอุปสรรค์ต่อการเคลื่อนทัพของฝ่ายโซเวียตเป็นแน่

*น่าจะคล้ายๆNo Man Land หรือเขตปลอดคนนั้นเอง*

   ด้วยยุทธศาสตร์นอกแบบของจีน จึงได้บังเกิดสัมฤทธิ์ผลในวันที่ 2 มีนาคม ปี1969 เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งของจีนได้ทำการซุ่มโจมตีทหารรักษาชายแดนโซเวียตบนเกาะเฉินเบายังผลให้ทหารโซเวียตสูญเสียเป็นอันมากคือตาย 31นาย บาดเจ็บอีก 14นาย ฝ่ายโซเวียตจึงแก้เผ็ดจีนบ้าง ในวันที่15 มีนาคมด้วยการทิ้งระเบิดถล่มกลุ่มทหารจีน ที่กำลังรวมพลกันอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำอัสซูรี (bank of the Ussuri) และโหมบุกกระหน่ำเข้าไปในเกาะดาแมนสกี้/เกาะเฉินเบา


หยาง หลิน(Yang Lin)วีรบุรุษแห่งเกาะเฉินเปา
บนโปสเตอร์ของจีนปี1969 คลิกที่รูปเพื่อขยายภาพครับ

(ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ต่อไปหากเจอคำว่าเกาะดาแมนสกี้,เกาะเฉินเบาก็ขอให้เข้าใจว่า มันก็คือเกาะอันเดียวกันนั้นแหละแค่เรียกกันคนละชื่อ) โดยฝ่ายโซเวียตอ้างว่าฝ่ายจีนเสียทหารไปประมาณ 800กว่าคน ส่วนฝ่ายตนนั้นเสียทหารทั้งที่ตายและบาดเจ็บไปเพียง 60คน ส่วนฝ่ายจีนก็อ้างไปคนละแบบกับพี่หมีไปเลย คืออั๊ว(จีน)ว่าอั๊วเสียทหารไปจำนวน

น้อยกว่าลื้อ(โซเวียต)ที่ตายไปเยอะแยะ สุดท้ายก็เลยไม่รู้ว่าใครพูดจริงหรือว่าโกหกทั้งคู่???
     การปะทะกันที่พรมแดนเพื่อยึดพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนสิงหาคม ปี1969 ตามพรมแดนด้านตะวันตกของจีนและโซเวียต โดยเฉพาะที่มลฑลซินเจียงฝ่ายจีนต้องสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก จนคิดกันไปถึงว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับโซเวียตในครั้งนี้ อาจจะนำไปสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์(nuclear weapon ) ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีครอบครองอยู่ก็เป็นได้(จีนเป็นน้องใหม่พึ่งทำนิวเคลียร์ได้ เลยมีนิวเคลียร์น้อยกว่าของโซเวียตที่เป็นผู้สอนทำ) โดยมีลางเป็นนัยๆว่าทางมอสโคว์มีความเอาจริง! ที่อาจจะทำให้จีนโดนนิวเคลียร์ของโซเวียตเป็นแห่งแรก

ทหารชายแดนโซเวียตที่เกาะเฉินเปากำลังอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์

แต่ในที่สุดทั้งมอสโคว์และปักกิ่งก็ได้พยายามที่จะให้การปะทะกันในครั้งนี้ อยู่ในวงจำกัดไม่ลุกลามใหญ่โตจนขยายเป็นการสู้รบขนาดใหญ่ ดังนั้นในวันที่ 11 กันยายน ปี1969 นายกรัฐมนตรี อเล็กเซ่ โคชิกิ้น(Aleksei Kosygin) ซึ่งเพิ่งกลับมาจากการเข้าร่วมพิธีศพของผู้นำเวียดนามประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ได้แวะเข้ากรุงปักกิ่งเพื่อเข้าพบกับ โจว เอินไหล

(Zhou Enlai) ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความเย็นขากันของประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งสอง
    กล่าวคือทางการจีนไม่ได้ให้การต้อนรับนายกฯของโซเวียตผู้นี้อย่างแต่ก่อน การพูดคุยกันของนายกฯทั้งสองจึงทำกันที่สนามบินปักกิ่งมันนั้นแหละ โดยได้พูดกันเรื่องการส่งตัวเอกอัครราชทูตของทั้งสองประเทศกลับสถานทูตของตน (ก่อนหน้านี้ได้ถูกเรียกตัวกลับประเทศ เมื่อเกิดการปะทะกันที่พรมแดนขึ้น) และเรื่องการเริ่มเจรจากันเบื้องต้นในปัญหาพรมแดน

 โลงศพทหารชายแดนโซเวียตที่เสียชีวิต

ผลหลังจากการปะทะกันในปี 1969(Consequences of 1969)



เกาะเฉินเปาตั้งอยู่บนแม่น้ำอัสซูรี ซึ่งเล็กไม่ถึง
หนึ่งตารางกิโลเมตร(ไม่รู้จะแย่งกันไปทำไม)
คลิกที่รูปเพื่อขยายครับ

     ผลหลังจากการปะทะกันของจีนและโซเวียตนั้น นักประวัติศาสตร์ฝั่งตะวันตกและของโซเวียตได้กล่าวว่า นับตั้งแต่การปะทะกันที่เกาะเฉินเปาไปจนถึงมณฑลซินเจียง ได้ทำให้นโยบายทางการเมืองและการต่างประเทศของเหมาเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก นั้นคือการหันไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจีนจะยอมญาติดีด้วย เค้าไม่ใช่ใครที่ไหนไกลหรอกครับ เพราะประเทศที่ว่านี้คือสหรัฐอเมริกานั้นเอง!

ใบประกาศเกียรติคุณวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต
จ่าสิบเอก วาย.วี.บาบานสกี้ (คลิกที่ภาพเพื่อขยายครับ)

นักประวัติศาสตร์โซเวียตกล่าวว่าการที่สาธารณรัฐประชาชนจีนหันไปจับมือกับสหรัฐอเมริกา นับเป็นการรวมพลังกันของมหาอำนาจที่น่าตกใจยิ่ง เมื่อทั้งสองประเทศนี้ต่างมีการปกครองกันคนละระบบที่เคยเป็นศัตรูกันมาตลอด เรียกได้ว่าเป็นการจับคู่ของสองสิ่งที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว ดังนั้นตั้งแต่เมื่อการปะทะกันในระดับท้องถิ่นที่พรมแดน ก็เป็นการส่งสัญญาณของจีนว่าพร้อมที่จะพูดคุยกับสหรัฐฯที่ห่างเหินกันไกลมานาน

เมื่อกรณีพิพาทสงบลงแล้ว สหรัฐก็ได้แสดงที่จะร่วมมือกันเป็น"สองผู้ยิ่งใหญ่"กับรัฐบาลจีน ด้วยการเริ่มการเยือนจีนแบบลับๆของนายเฮนรี่ คิสซิสเจอร์(Henry Kissinger)โดยเขาได้พบปะกับนายกฯโจว เอินไหลของจีนในปี1971 ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของการทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่โซเวียตไม่สามารถระเบิดให้พังได้ นั้นคือการเยือนจีนของประธานาธิบดีสหรัฐฯนายริดชาร์ด นิกสั้น(Richard Nixon) เพื่อพบปะจับมือกับประธาน เหมา เจ๋อตง(Mao Zedong) ในปี1972 โดยเรียกกันโดยทั่วไปว่า"การเจริญสัมพันธไมตรีด้วยปิงปอง"(ping pong diplomacy)  จีนได้ลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับโซเวียตลงเป็นอันมาก หลังจากการปะทะกันที่พรมแดน แม้จะได้มีการเจรจากันในปัญหาเรื่องพรมแดนในปี1969ไปแล้วก็ตามแต่ เพราะปัญหานี้ยังคงอยู่อีกนานนับสิบๆปี

ภาพแห่งประวัติศาสตร์เมื่อริคชาร์ด นิกสันได้จับมือกับเหมา เจ๋อตง
ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความแตกตื่นกันไปทั่วโลก

หลังจากนั้นก็ยังมีเหตุการณ์ที่ส่อแววจะทำให้เกิดสงครามอยู่รำไร เช่นตลอดระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม(Cultural Revolution)ในประเทศจีน หลังจากเหตุการณ์ที่เกาะเฉินเบาฝ่ายจีนได้เตรียมปฏิบัติการทางทหารอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีการคาดหมายว่ารัฐมนตรีกลาโหม หลิน เปียว(Lin Biao) จะได้เป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากประธานเหมา โซเวียตจึงได้เพิ่มจำนวนทหารทั้งตามพรมแดนที่ติดต่อกับจีนและในมองโกเลียให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมาจีนและสหภาพโซเวียตก็เผชิญหน้ากันมากกว่าเดิม ไปจนสิ้นสุดสงครามเย็นโน้นเลยทีเดียว

     แต่ทุกอย่างเมื่อมีเกิดก็ต้องมีสิ้นสุดเมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลงเป็นการปิดฉาก อาณาจักรคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกลง ในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จนนำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ เป็นระดับปกติและแนบแน่นขึ้นดังเช่นทุกวันนี้


ความขัดแย้งพรมแดนจีน-โซเวียต
เป็นส่วนหนึ่งของ: สงครามเย็น
วันเวลา1969
สถานที่พรมแดนจีน-โซเวียต (เกาะเฉินเปา,ซินเจียง)
ผลการรบ
ทั้งสองฝ่ายอ้างตัวเป็นผู้ชนะ;
สหภาพโซเวียตถือครองบริเวณพิพาทต่อไป
คู่สงคราม
สาธารณรัฐประชาชนจีน
สหภาพโซเวียต
ผู้บัญชาการ
เหมา เจ๋อ ตง
เลโอนิด เบรเนฟ
กำลังพล
814,000 คน
658,000 คน
ความสูญเสีย
บาดเจ็บและสูญเสียรวม 800 นาย
(ประมาณการของโซเวียต)

เสียชีวิต 68 นายที่เกาะเฉินเปา
เสียชีวิต 31 นาย บาดเจ็บ 14 นาย (เฉพาะที่เกาะเฉินเปา)
รถบรรทุกถูกทำลาย 1 คัน
รถบัญชาการถูกทำลาย 1 คัน
รถถังที-62 ถูกยึด 1 คัน

บรรณานุกรม
ทวีป วรดิลก,ประวัติศาสตร์จีน
และเว็ป Tanarmy ที่ได้กรุณาแปลไว้ให้แล้วอย่างสูงครับ ขอบคุณมาๆครับ

การรบแห่ง ซา คาม มาย (สงครามเวียดนาม)



ธงแนวร่วมปลดปล่อยเวียดนามใต้(เวียดกง)
ธงชาติสหรัฐอเมริกาการรบแห่ง ซา คาม มาย
Battle of Xa Cam My


เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านให้มากขึ้น ควรเปิดเพลงไปด้วยนะครับ
การรบแห่ง ซา คาม มาย นับเป็นสมรภูมิหนึ่งในสงครามเวียดนามที่ถูกลืม พวกเรามักจะได้ยินแต่ว่า สหรัฐฯบอมบ์เวียดนามเหนือ บอมบ์เวียดกง ฆ่าเวียดกง ได้เป็นภูเขาเลากา ไล่เวียดกงจนตะเลิดเปิดเปิง แต่อเมริกันเองก็ไม่ใช่ว่ามีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แล้วจะไม่มีวันพ่ายแพ้ อเมริกันเคยพ่ายแพ้มาแล้ว แต่ชนะมากกว่าแพ้เท่านั้นเอง ไอ้ตรงส่วนที่แพ้นี่จึงไม่ค่อยหยิบยกมาเล่ากันสักเท่าไหร่ เมื่อผมเห็นเรื่องนี้ในวิกิ จึงเกิดคันไม้คันมืออยากทำขึ้นมา เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือหรือเว็บที่เกี่ยวกับสงครามเวียดนาม
                            ทหารพลร่มกองพลที่ 173 กำลังเก็บศพผู้เสียชีวิต จากการซุ่มโจมตีของเวียดกง

กล่าวนำ
     
     การรบแห่ง ซา คาม มาย เป็นสมรภูมิที่สั้นมาก สมรภูมิหนึ่งในสงครามเวียดนาม เพราะใช้เวลาเพียงแค่สองวันคือ นับตั้งแต่วันที่ 11 จนถึงวันที่ 12 เดือนเมษายน ปี 1966
    ซึ่งจริงๆแล้วตามแผนยุทธการค้นหาและทำลาย (Search and destroy) ฝ่ายอเมริกันมีวัตถุประสงค์ที่จะล่อ กองพัน800ดี (D800 Battalion) ของเวียดกง ให้ "แตกแยก" ("crack") แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า กองร้อยชาร์ลี (Charlie Company) ต้องตกอยู่ในสภาพสู้เพียงเพื่อเอาตัวรอด หาใช่แค่ใช้เป็นตัวล่อข้าศึกอย่างที่ตั้งใจไว้ ในดงป่าต้นยาง ที่ ซา คาม มาย (Xa Cam My) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงไซง่อน ไปทางตะวันออกประมาณ 42 ไมล์ (68 กิโลเมตร)
     ในระหว่างการรบทหารอเมริกัน 134คน จากกองร้อยชาร์ลี,กองพันที่ 2 (2nd Battalion),กองพลทหารราบที่ 16 และ 1 (16th and 1st Infantry Division) ต้องต่อสู้กับศัตรูที่ไม่เห็นตัว เพราะพวกเวียดกงใช้วิธีการซุ่มโจมตี โดยอาศัยพุ่มไม้เป็นเครื่องพรางตา

แผนที่จังหวัดฟุคตุย ช่องเล็กคือตำแหน่งจังหวัดฟุคตุย บนเวียดนามใต้
ภูมิหลัง
     
     ยุทธการอบิลีนี่ (Operation Abilene) มุ่งเน้นไปที่การกวาดล้าง กองโจรเวียด กงประจำถิ่น (local Viet Cong) กองพัน800ดี ซึ่งกำลังพลที่ฝ่ายพันธมิตรได้ระดมมา สำหรับยุทธการครั้งนี้ได้แก่ กองพลทหารราบที่ 1 ของสหรัฐฯ สนับสนุนด้วยการยิงจากฐานปืนใหญ่ของนิวซีแลนด์ และ กองพันทหารที่ 1 จากกรมทหารหลวงออสเตรเลีย (Royal Australian Regiment)
     พลตรี วิลเลี่ยม อี. เดอปุย (William E. DePuy) ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 สหรัฐฯ วางแผนล่อเวียดกง ซึ่งแอบซ่อนอยู่ ให้ออกมาจากที่ซุ่มซ่อน ด้วยการใช้กองร้อยชาร์ลีเป็นเหยื่อล่อ ให้เวียดกงเข้ามาติดกับ ทันทีที่เวียดกงเข้าโจมตีกองร้อยชาร์ลี เดอปุยก็จะใช้กองร้อยอืุ่นเข้าบดขยี้พวกเวียดกงทันที

ปฏิบัติการได้เริ่มขึ้น เมื่อวันที่ 10 เมษายน ปี 1966 ทหารจากกองพลทหารที่ 1 เข้าประจำตำแหน่งที่ วุง เตา (Vung Tau) เพื่อค้นหาเวียดกง กองพันดี 800 ที่หลบซ่อนอยู่ แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เหมือนที่วางแผนกันไว้ตั้งแต่ต้น ทหาร 134คน ของกองร้อยชาร์ลี ต้องออกจากการรบ เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ส่วนการจะได้รับกำลังหนุนก็เป็นไปไม่ได้ เพราะถูกเวียดกงล้อม ตัดขาดออกจากกองร้อย อัลฟ่า (Alpha) และ บราโว่ (Bravo)

                                                      จีไอ กำลังปฏิบัติการในจังหวัดฟุคตุย
การรบ
     
      ในวันต่อมา กองร้อยชาร์ลีก็มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าต้นยาง พวกเขาต้องถูก พลซุ่มยิงเวียดกง ยิงแบบเว้นช่วงเป็นพักๆ ไม่ให้พวกจีไอกล้าก้าวสามขุม เพราะใครก้าวออกไปก็เจอสไนเปอร์ยิงให้ร่วงกองลงกับพื้นทุกที จีไอถูกยิงร่วงลงไปทีละคนๆ ราวกับใบไม้ร่วง พวกเวียดกงยิงกดหัวจีไอ ไปพร้อมๆกับแปรขบวนโอบล้อม พวกมะกันที่ไม่สา้มารถเคลื่อนที่ได้ ในเวลา 14.00 น. นายทหารเวียดกงก็พบที่ตั้งทั้งหมดของกองร้อยชาร์ลี และสั่งให้เหล่ากองโจรเวียดกง เข้าโอบล้อมไว้ทันทีอย่างอบอุ่น (ฮา)
    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นายพลเดอปุยก็เข้าใจผิดไปว่า พวกเวียดกง ตะครุบเหยื่อแล้ว และยังคิดไปว่าป่าที่หนาทึบ จะไม่เป็นอุปสรรค์แก่การช่วยเหลือ กองร้อยชาร์ลี

                                                                         นายพลเดอปุย
   
        กองร้อยชาร์ลีก็เลยต้องกลายเป็นเหยื่อจริงๆไป ในเมื่อเจ้านายไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริง กองร้อยชาร์ลีจึงต้องพึ่งตนเอง เพื่อลดความสูญเสีย และหยุดการซุ่มโจมตี กองร้อยชาร์ลีจึงแปรขบวนกันเป็นรูปวงแหวน เพื่อประสานการยิงกัน และไม่ให้พวกเวียดกงแหวกเข้ามา ทำให้แตกกันทั้งกองร้อยได้ และค้นหาพวกเดียวกันที่กระจัดกระจาย เพื่อนำมารวมตัวกัน พวกเขาต่อสู้โดยที่ไม่ได้รับกำลังเสริมเลย
     กองร้อยชาร์ลีไม่ยอมที่จะถูกเวียดกงระดมยิงอยู่แต่ฝ่ายเดียว พวกเขาได้เรียกการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่ แต่แล้วการประสานงานระหว่างพลวิทยุ กับกองปืนใหญ่ ก็เกิดการระบุพิกัดเป้าหมายผิดพลาด ทำให้กระสุนปืนใหญ่ของพวกเดียวกัน ตกใส่ที่ตั้งของกองร้อยชาร์ลี ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นับว่าเป็นการซ้ำเติมพวกเดียวกันอย่างเจ็บแสบที่สุด 
     ในที่สุดยามราตรีก็มาเยือน สถานการณ์ของกองร้อยชาร์ลีในขณะนี้ ตกอยู่ในภาวะล่อแหลมมากที่จะถูกยำเละละลายทั้งกองร้อย

กองร้อยชาร์ลีจึงขว้างระเบิดแก็สน้ำตา (tear gas grenades) ใส่พวกเวียดกงที่บุกเข้ามาอย่างก้าวร้าว แต่นั้นก็ยังไม่พอจะหยุดเวียดกง  ให้เข้ามาในแนวของกองร้อยชาร์ลี
     รุ่งเช้าเหล่าพลพรรคเวียดกง แห่งกองพันดี 800 ก็สามารถเข้าสู่พื้นที่ของอเมริกันได้สำเร็จ พวกเขาเข้ามาเก็บศพและคนเจ็บพวกเดียวกัน ออกไปจากสนามรบ และเดินไปเชือดคอหอยทหารอเมริักันที่นอนบาดเจ็บอยู่ ทุกคนที่พบ ระหว่างทางที่พวกเขาเดินผ่านไป อย่างเลือดเย็น (โหดหลาย)
                          ทหารเวียดนามเหนือ ถึงแม้ว่ายุทโธปกรณ์จะด้อยกว่าสหรัฐมาก แต่ก็ชนะได้ด้วยกลยุทธ์

  ห้าชั่วโมงหลังจากการต่อสู้อย่างป่าเถื่อน ทหารในกองร้อยชาร์ลีที่เหลือ ได้เข้ารวมกลุ่มกันหนาแน่นขึ้น ปกป้องด้วยการยิงจากกองปืนใหญ่ ด้วยอัตรายิง 5-6 นัด ต่อนาที กระสุนปืนใหญ่ที่ตกระเบิดรอบตัวพวกเขา เปรียบเสมือนสายสินธ์ ที่จะป้องกันไม่ให้ปีศาจร้ายอย่างเวียดกง เข้ามาทำร้ายจีไอที่นั่งสั่นหงกๆอยู่ในสายสินธ์ได้ (ฮา)


หากไม่มีการสนับสนุนด้วยปืนใหญ่กองร้อยชาร์ลี
คงละลายไปแล้วตั้งแต่คืนแรกของการรบ
    
    เมื่อเวลา 7.00 น.ของเช้าวันที่ 12 เมษายนมาถึง พวกเวียดกงก็ได้ถอยไป ก่อนที่จีไอหน่วยอื่นๆจะมาถึง (แหม แผนของท่านนายพลเดอปุยพึ่งจะได้ใช้ แต่เวียดกงรู้ทันสมกับที่เป็นพวกแกว เลยรู้แกวทุกที ฮ่าๆ) เรียกว่าหากทหารหน่วยอื่่นมาถึงช้ากว่านี้แค่นิดเดียว กองร้อยชาร์ลีคงต้องตายยกเข่ง เพราะสูญเสียทหารในกองร้อยไปกว่า 80% แล้ว (เหลือแค่ 20% ที่ยังอยู่)

ผลที่ตามมา
     
       ทหารสองนาย ผู้ได้รับเหรียญกล้าหาญในการรบครั้งนี้ หลังจากได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ได้แก่ สิบเอก เจมส์ โรบินสัน (James Robinson ชื่ออย่างกะห้าง 55) กับ วิลเลี่ยม พิทเซนท์บาจ (A1C William Pitsenbarger) โดยได้รับการปูนบำเหน็จในเดือน ธันวาคม ปี 2000 (รอจนสงครามจบไปซะตั้งนาน) เว็บไซต์เกี่ยวกับผู้ประจำการใน กองพลทหารราบที่ 1,16,กองพันที่ 2,แรนเจอร์ และกองร้อยชาร์ลี ในเวียดนาม คือ http://www.angelfire.com/mo2/Mudsoldiers/index.html


บรรณานุกรม
และเว็ป Tanarmy ที่ได้กรุณาแปลไว้ให้แล้ว ขอบคุณมากๆครับ

กำแพงแห่งความโศกเศร้า ซึ่งจารึกรายชื่อทหาร
อเมริกันผู้เสียชีวิตในสงครามเวียดนาม

การรบแห่งมุกเดน สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ( ก่อน WW1 )




 
การรบแห่งมุกเดน
      Battle of Mukden


จักรวรรดิรัสเซีย 
จักรวรรดิญี่ปุุ่น







เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านควรเปิดเพลงประกอบไปด้วยนะครับ


สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น นับเป็นสงครามหนึ่งที่สั่นสะเทือนโลก เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า ประเทศที่เล็กกว่าอย่างญี่ปุ่น จะสามารถเอาชนะรัสเซีย ซึ่งทั่วโลกต่างสะพรึงกลัว เป็นการตอกย้ำให้ทั่วโลกเห็นว่า ชาวเอเชียเองก็สามารถเอาชนะชาวยุโรปได้ ทางรัสเซียเองต้องสูญเสียเกียรติภูมิลงไปอย่างมาก เพราะแทบจะไม่เคยได้รับชัยชนะในสงครามนี้เลย

     การรบแห่งมุกเดน เป็นการรบใหญ่ภาคพื้นดินครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย ระหว่างกองทัพรัสเซียและญี่ปุ่นในสงครามครั้งนี้ การรบเป็นไปอย่างรุนแรงที่สุด รวมยอดความสูญเสียทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บของทั้งสองฝ่าย นับเป็นจำนวนกว่าแสนคน เรียกได้ว่าการรบครั้งเดียวสูญเสียมากกว่าสงครามบางแห่งเสียอีก
ทหารรัสเซียต้านทานการบุกแบบคลื่นมนุษย์ของทหารญี่ปุ่น

กล่าวนำ

     หนึ่งในการรบทางบกครั้งใหญ่ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คือการรบแห่งมุกเดน (อังกฤษ=Battle of Mukden ญี่ปุ่น=奉天会戦 อ่านว่า โฮเท็น ไคเซน/Hōten kaisen) เป็นการรบทางบกขนาดใหญ่ครั้งสุดท้าย ในสงครามรัสเซียญี่ปุ่น การรบเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์จนสิ้นลงในวันที่ 10 มีนาคม ปี1905 ระหว่างฝ่ายญี่ปุ่นกับรัสเซีย ใกล้กับมุกเดนในแมนจูเรีย ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่าเมืองเสิ่นหยาง (Shenyang) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดเหลียวหนิง ในสาธารณรัฐประชาชนจีน

      กองกำลังของฝ่ายรัสเซียประกอบไปด้วยทหารเป็นจำนวนมากกว่า 276,000คน ภายใต้การนำของ นายพล อเล็กเซ นิโคเลวิช คูโรแพทคิน (Alexei Nikolajevich Kuropatkin) ส่วนกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นมีทหารจำนวนใกล้เคียงกันคือ 270,000คน ภายใต้การนำของ จอมพลองค์ชาย โอยาม่า อิวาโอ (Field-Marshal Prince Oyama Iwao)


แผนที่ตั้งเมืองมุกเดน

ภูมิหลัง

      หลังจากการรบที่เลี่ยวหยาง (Battle of Liaoyang) ซึ่งดำเนินเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม - 4 กันยายน ปี1904 ฝ่ายรัสเซียก็ได้ถอยข้ามแม่น้ำชา โฮ (Sha Ho) ทางตอนใต้ของมุกเดน และเร่งรีบระดมกำลังกัน ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม ถึง 17 ตุลาคม ระหว่างการรบแห่งชาโฮ (Battle of Shaho) การโจมตีตอบโต้ของรัสเซียประสบกับความล้มเหลว แต่ก็สามารถหยุดการรุกคืบหน้า ของฝ่ายญี่ปุ่นไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง

     การตีโต้ครั้งที่สองของฝ่ายรัสเซีย กระทำระหว่างการรบแห่งซาเตอะผู่ (Battle of Sandepu) ตั้งแต่วันที่ 25-29 มกราคม 1905 แต่ก็ประสบความล้มเหลวเข่นเดียวกัน หลังจากปอร์ตอาเธอร์ถูกตีแตกแล้ว นายพลโนกิ (General Nogi) จึงได้ส่งกองทัพที่ 3 (3rd Army) ขึ้นเหนือเพื่อสนับสนุน กองกำลังญี่ปุ่นที่ประจำแนวหน้าใกล้กับมุกเดน เพื่อเตรียมการบุกโจมตี
นายะล โนกิ ของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น

เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1905 กองทัพที่ 3 ของนายพลโนกิก็มาถึงแนวหน้ามุกเดน กองกำลังของญี่ปุ่นก็มีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก เพิ่มแรงกดดันให้กับมุกเดนอย่างมาก การสูญเสียทหารจำนวนมาก,สภาพอากาศที่โหดร้าย และการที่กองเรือภาคพื้นบอลติคของรัสเซียกำลังเดินทางมา ล้วนแต่กดดันให้ โอยาม่าต้องเร่งทำลายกองทัพรัสเซียให้สิ้นซากมากกว่าที่จะได้รับชัยชนะโดยปล่อยให้รัสเซียถอยเข้าไปในแมนจูเรีย

จอมพล โอยาม่า อิวาโอ

การวางแผน

     แนวตั้งรับของฝ่ายรัสเซียทางตอนใต้ของมุกเดน มีความยาวกว่า 90ไมล์ (140กิโลเมตร) เป็นแนวลึกไม่มากนัก ตอนกลางมีกองหนุน ส่วนทางปีกขวาเป็นพื้นที่ราบ แนวตั้งรับป้องกันโดยกองทัพแมนจูเรี่ยนที่ 2 (Second Manchurian Army) ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพล บารอน ฟอน เคาบาร์ (General Baron von Kaulbars) ผู้ซึ่งมารับตำแหน่งแทนนายพล ออสการ์ เฟอร์ดินานด์ คาซิมีร์โรวิช (General Oskar-Ferdinand Kazimirovich Grippenberg) ทางตอนกลางของแนว รางรถไฟและถนนป้องกันโดย กองทัพแมนจูเรี่ยนที่ 3 (Third Manchurian Army) นำโดยนายพลไบเดอร์ริงก์ (General Bildering) ส่วนเนินด้านปีกทางตะวันออก ป้องกันโดยกองทัพแมนจูเรี่ยนที่ 1 (First Manchurian Army) ภายใต้การนำของ นายพลนิโคไล ลิเนวิช (Nikolai Linevich) ปีกทางด้านนี้ยังได้รับกำลังสนับสนุนจากทหารม้า 2-3กอง ของนายพล เพา ฟอน เรนเนนคัฟ (Paul von Rennenkampf) นายพลคูโรแพทคินได้จัดวางกำลังของเขาอย่างดี สำหรับทำการตั้งรับโดยเฉพาะ โดยไม่มีการเปิดช่องว่างใดๆไว้เลย

ฝ่ายรัสเซียระหว่างถอยทัพ

ทางฝ่ายรุกคือญี่ปุ่นนั้น กองทัพที่1 (1st Army) ของนายพลคุโรกิ (General Kuroki) และกองทัพที่4 (4th Army) ของนายพลโนะสุ (General Nozu) จะมุ่งหน้าไปทางตะวันออกตามทางรถไฟ ส่วนกองทัพที่2 (2nd Army) ของนายพลโอกุ (General Oku) จะมุ่งหน้าไปทางตะวันตก โดยมีกองทัพที่สามของนายพลโนกิ เคลื่อนทัพตามหลังไปอย่างปิดบัง จนกว่าจะถึงสนามรบ ได้มีการจัดทัพใหม่เป็นกองทัพที่ 5 (5th Army) ของนายพล คาวามูระ คาเกอิ (General Kawamura Kageaki) เป็นทัพหลักตีปีกทางตะวันออกของรัสเซีย กองทัพที่5 เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง ประกอบไปด้วยหทารกว่า 11กองพล จากปอร์ตอาเธอร์ และทหารกองหนุน

     นายพลคูโรแพทคินเชื่อว่าการโจมตีหลักของญี่ปุ่น จะกระทำจากภูเขาทางด้านตะวันออก เพราะจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตี ซึ่งการปรากฏตัวของทหารญี่ปุ่นที่เคยประจำในกองทัพที่3 แห่งกองพลที่11 ช่วยสนับสนุนความเชื่อของเขา

นายพล อเล็กเซ คูโรแพทคิน

จอมพลโอยาม่าวางแผนไว้ว่า จะใช้5กองทัพทำการล้อมกรอบมุกเดน เพื่อตัดเส้นทางที่อาจจะทำให้ทหารรัสเซียหลบหนีไปได้ เขาได้กำชับในคำสั่งที่ให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ในเมืองมุกเดน ตลอดสงครามครั้งนี้ญี่ปุ่นมีนโยบาย ที่จะหลีกเลี่ยงการทำให้พลเรือนจีนได้รับความสูญเสีย ซึ่งแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้คือระหว่าง สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War) และหลังจากนี้คือ สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ( Second Sino-Japanese War) เป็นอย่างมาก

การรบ

     การรบเปิดฉากขึ้นเมื่อกองทัพที่ 5 ของญี่ปุ่น ทำการโจมตีทางด้านปีกซ้ายของฝ่ายรัสเซีย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พอถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ กองทัพที่ 4 ของญี่ปุ่นก็เปิดฉากโจมตีทางปีกขวา ส่วนกองทัพอื่นๆของญี่ปุ่น เข้าโจมตีแนวป้องกันของรัสเซียด้านหน้า ในวันเดียวกันกองทัพที่ 3 ของญี่ปุ่น ได้มุ่งหน้าตีวงล้อมทางตะวันตกเฉียงเหนือของมุกเดน

     ในวันที่ 1 มีนาคม การรบกระทำกันทางตะวันออก และแนวหน้าตอนกลางเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายญี่ปุ่นพยายามรุกด้วยกำลังไปทีละน้อย แต่ก็ต้องได้รับการต้านทานอย่างรุนแรงจากฝ่ายรัสเซีย จนสูญเสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งในวันที่ 7 มีนาคม นายพลคูโรแพทคินได้ตัดสินใจ ย้ายกองกำลังจากด้านตะวันออก มาตีโต้กองทัพที่ 3 และมุ่งหน้าสู่แนวรบด้านตะวันตก เพราะเขาเป็นกังวัลในการรุกของนายพลโนกิ นายพลคูโรแพทคินได้ตัดสินใจนำกองทัพบุกโจมตีด้วยตนเอง แต่เนื่องจากกองทัพรัสเซียทางด้านตะวันออกและตะวันตก ไม่ได้ประสานการโจมตีพร้อมกัน กองทัพแมนจูเรี่ยนที่ 1 และ 3 ต่างกระจัดกระจายและอยู่ในความยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ จึงสบโอกาสให้จอมพลโอยาม่า ซึ่งรออยู่แล้วออกคำสั่งโจมตี และกลายเป็นฝ่าย "ติดตามและทำลาย" และเป็นโชคดีของญี่ปุ่นที่สภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้น้ำในแม่น้ำฮั่น (Hun River) จับตัวเป็นน้ำแข็ง ไม่เป็นอุปสรรคแก่การโจมตีของญี่ปุ่นแต่อย่างใด
ภาพวาดการรบที่มุกเดนบนหนังสือของฝรั่งเศส

แต่เมื่อกำลังจะถูกล้อมและไม่มีความหวังที่จะได้รับชัยชนะแล้ว นายพลคูโรแพทคินได้ออกคำสั่งให้ถอนทัพไปทางเหนือ เมื่อเวลา 18.45น. ของวันที่ 9 มีนาคม การถอนกำลังของรัสเซียประสบความยุ่งยาก เนื่องจากการกองทัพญี่ปุ่นของนายพลโนะสุ ได้ติดตามข้ามแม่น้ำฮั่นมาจากทางด้านหลัง และได้เร่งเข้ารุกตีฝ่ายรัสเซียที่ล่าถอยอยู่ตลอดเวลา กองทัพรัสเซียที่เสียขวัญได้ละทิ้ง คนเจ็บ อาวุธ และเสบียงไว้ ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปสู่ เตี่ยหลิง(Tiehling)

     ณ.เวลา 10.00น.ของวันที่ 10 มีนาคม กองทัพญี่ปุ่นก็สามารถยึดเมืองมุกเดนไว้ได้อย่างเด็ดขาด

                                                 ภาพวาดการรบแห่งมุขเดนของฝรั่งเศส








แผนที่แสดงการรบ ญี่ปุ่นสีแดง รัสเซียสีน้ำเงิน


ทหารญี่ปุ่นในสนามเพลาะ
อวสาน

     ฝ่ายรัสเซียสูญเสียรวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 90,000คน และต้องสูญเสียเสบียงและกระสุนไปเป็นจำนวนมาก นายพลคูโรแพทคินเกรงว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะรุกเข้ามาอีก จึงมีคำสั่งให้เผาเมืองเตี่ยหลิงทิ้ง และให้กำลังพลที่เหลือออกเดินทางไปทางเหนือ ใช้เวลาเดินทาง 10วัน จึงไปถึงที่มั่นใหม่ที่ หัสเผิงไค (Hspingkai) ปัจจุบันคือเมืองสื้อเผิง (Siping) จังหวัดจีลิน (Jilin) สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนฝ่ายญี่ปุ่นมียอดสูญเสียรวมอยู่ที่ 70,000คน

     หลังการรบครั้งนี้ทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ทำการสู้รบขนาดใหญ่อีกเลยไปจนสิ้นสุดสงคราม



บรรรณานุกรม

และเว็ป Tanarmy ที่ได้แปลไว้ให้แล้วอย่างสูงครับ


บทสรุปการรบแห่งมุกเดน

การรบแห่งมุกเดน
เป็นส่วนหนึ่งของ:สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น
วันเวลา20 กุมภาพันธ์ – 10 มีนาคม 1905
สถานที่ทางใต้ของมุกเดน,แมนจูเรีย
ผลการรบจักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ
คู่สงคราม
จักรวรรดิญี่ปุ่น
จักรวรรดิรัสเซีย
ผู้บัญชาการ
จอมพล โอยาม่า อิวาโอ
นายพล อเล็กเซ คูโรแพทคิน
กำลังพล
200,000-270,000นาย
210,000-276,000นาย
ความสูญเสีย
เสียชีวิต 15,892คน
บาดเจ็บ 59,612คน
เสียชีวิต 8,705คน
บาดเจ็บ 51,438คน
สูญหาย 28,209คน


                                                      คลิบกลยุทธ์การรบแห่งมุขเด็น

M16/M4 ปืนที่พระเอกเลือกใช้ ??



                                                     ปืนที่พระเอกเลือกใช้ M16 / M4

หลังสงครามโลกครั้งที่2สงบลงสามปี หนึ่งในความพยายามพัฒนายุทโธปกรณ์และกำลังรบของกองทัพสหรัฐฯ คือการสร้างเกราะป้องกันร่างกายเพื่อรักษาชีวิตกำลังพล เมื่อกระสุนปืนประจำกายทหารราบมีพื้นที่หน้าตัดเล็กลงแต่ความเร็วสูงขึ้น รายงานการสู้รบจากสงครามโลกครั้งที่1และ2ถูกรวบรวมได้กว่า3ล้านชิ้นเพื่อนำมาวิจัย ให้ทราบเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ของการบาดเจ็บ

จากศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่กี่ปีก็ได้ข้อสรุปว่าทหารมักจะยิงกันใกล้ๆในระยะเห็นหน้าเพื่อความแม่น ส่วนใหญ่กองกำลังจะปะทะกันโดยบังเอิญ โอกาสถูกยิงจึงบังเอิญตาม ทหารชอบสาดกระสุนมากกว่าเล็งประณีต เมื่อความบาดเจ็บนั้นไม่ได้เกิดจากการเล็งประณีตเพราะเป้าหมายเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา เมื่อปะทะแล้วต้องการเอาตัวรอดให้ได้จากเหตุเฉพาะหน้าก่อน พวกที่ใช้ปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติ(M1และปืนเล็กยาวร่วมสมัย)จะมีโอกาสยิงน้อยกว่าพวกถืออาวุธยิงเร็วอย่างBAR(Browning Automatic Rifle)หรือปืนกลอย่างM3 ที่เหนี่ยวไกครั้งเดียวสามารถสาดกระสุนได้เป็นสาย มีโอกาสถูกเป้ามากกว่าเล็งประณีต
                                                       BAR (Browning Automatic Rifle)
ยิ่งรบอเมริกันยิ่งรู้ว่าทหารอยากพกกระสุนเข้าสนามรบมากขึ้น ปืนเดิมสร้างจากไม้กับเหล็กหนักอึ้งเป็นภาระ ลำพังปืนอย่างเดียวกับสัมภาระส่วนตัวก็บั่นทอนสมรรถนะของทหารมากอยู่แล้ว ยังต้องหอบหิ้วกระสุนหนักและใหญ่โตเกินจำเป็นแรงถีบก็สูงเข้าสนามอีก แทนที่จะเคลื่อนไหวได้เร็วมีกำลังเหลือมากเพื่อรบได้ยาวนาน กลับจะเป็นเป้าได้ง่าย

ปืนใหม่ที่จัดหามาในค.ศ.1954ระหว่างการวิจัยและพัฒนา คือM14ที่ยังตอบปัญหาเรื่องน้ำหนักและจำนวนกระสุนไม่ได้ มันยังหนักและใช้กระสุนเส้นผ่าศูนย์กลาง7.62ม.ม.มาตรฐานนาโตที่หนัก ทหารนำเข้าสนามได้น้อย ความยาวของปืนและน้ำหนักยากต่อการรบระยะประชิดที่นับจะเกิดถี่ขึ้น ทั้งในป่า เมือง หรือสงครามเต็มรูปแบบเคลื่อนที่เร็วด้วยยานยนต์ ร้อนถึงสำนักวิจัยและพัฒนาอาวุธเบาต้องทบทวนแนวความคิดเดิม เพื่อรับมือกับการคุกคามของค่ายคอมมิวนิสต์และรูปแบบการสู้รบอันเปลี่ยนไป




M-14
กระสุนขนาดต่างๆเรียงแถวเข้าสนามทดสอบเพื่อหาความเหมาะสม ให้ยิงหวังผลได้จากศูนย์เปิดในระยะ300-400เมตร ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่กระสุนขนาด5.56ม.ม.ที่มีน้ำหนักและปริมาณสมเหตุสมผลกับสภาพการรบจริงๆ ทหารอุ่นใจได้เมื่อมีมันในรังเพลิงปืนข้างกาย โครงการ”ซัลโว”(Project Salvo)จึงเกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ.1953-1957เพื่อคิดค้นปืนเล็กยาวให้ใช้ยิงกระสุนขนาดนี้ ด้วยกรอบความคิดว่าต้องเบา ทหารนำกระสุนติดตัวได้มาก เลือกระบบการยิงได้ทั้งกึ่งอัตโนมัติ(semi)และอัตโนมัติ(auto) เพื่อทดแทนM14เดิมทั้งยาวและหนัก แม่นยำแค่นัดแรกๆแต่กลายเป็นยิงนกตกปลาในนัดถัดๆไปเมื่อยิงแบบอัตโนมัติ

เพื่อให้ได้อาวุธประจำกายทหารราบอายุใช้งานนานปี โครงการซัลโวจึงรื้อสร้างแนวคิดเรื่องการพัฒนาปืนใหม่หมดตลอดเวลาสองช่วง ด้วยกระสุนหลายขนาดไม่เฉพาะแต่5.56ม.ม. แต่กระสุนขนาดเดิมคือ7.62ก็ถูกนำเข้าทดสอบด้วยเพื่อหาทางออกให้ปืนแบบใหม่ ระหว่างนั้นบริษัทผลิตอาวุธของเบลเยียมคือฟาบรีค นาซิญ็องนาล(FN)เสนอแบบปืนเข้าเสนอแบบแข่งขันพร้อมกับบริษัทอเมริกันเกิดใหม่คืออาร์มาไลต์ต้นสังกัดของนักออกแบบอาวุธหัวก้าวหน้า ยูจีน สโตเนอร์ โดยยังใช้กระสุนขนาด7.62 ม.ม.เคียงข้างกันมาตลอด

AR-10จากฝีมือออกแบบของสโตเนอร์จัดว่าแหวกแนวที่สุดในยุคนั้น ด้วยรูปทรงแทบไม่ต่างจากM16ในปัจจุบัน เช่นแนวเส้นตรงจากปลายลำกล้องถึงสุดพานท้าย หูหิ้วประกอบศูนย์เล็งหลังรูปร่างแปลกตาและศูนย์หน้าทรงสามเหลี่ยมยกตัว กระโจมมือและพานท้ายทำจากพลาสติก โครงปืนสร้างจากอัลลอยทำให้น้ำหนักเบากว่าปืนของFNถึง0.9ก.ก. การวางแนวลำกล้องเป็นเส้นตรงถึงปลายพานท้ายไม่ลาดลงเหมือนปืนรุ่นก่อน ส่งแรงรีคอยล์(ถีบ)เข้าหาไหล่คนยิง ปืนจึงกระแทกถอยหลังตรงๆแทนที่จะสะบัดขึ้น ยิงต่อเนื่องได้เร็วกว่า



AR-10
AR-10ของสโตเนอร์ทำท่าว่าจะไปได้ดี แต่เพราะความรั้นของจอร์จ ซัลลิแวนประธานบริษัทอาร์มาไลต์ที่ยืนยันให้ใช้ลำกล้องอลูมินัมอัลลอยในปืนทดสอบ แทนเหล็กกล้าตามแบบของสโตเนอร์เพื่อลดน้ำหนัก หลังจากยิงต่อเนื่องตามข้อบังคับของกองทัพขณะส่งแข่งขันในค.ศ.1957 ลำกล้องAR-10ต้นแบบระเบิดและถูกปฏิเสธ

ถึงAR-10จะไม่ได้รับใช้ชาติแต่นวัตกรรมของมันเข้าตากรรมการ เมื่อพลเอกวิลลาร์ด จี. ไวแมนหัวหน้าคณะทดสอบปืนใช้กระสุน5.56ม.ม.ขณะนั้นเคยร่วมทดสอบและพบว่ามันเป็นปืนที่ดี หากเปลี่ยนวัสดุทำลำกล้องแล้วใช้กระสุน5.56ม.ม.วินเชสเตอร์ ด้วยข้อกำหนดว่าปืนต้องหนัก2.7ก.ก.รวมกระสุน20นัด ยิงทะลุหมวกเหล็กมาตรฐานหรือแผ่นเหล็กหนา3.4ม.ม.ได้ในระยะไกลสุด460เมตร สร้างความเสียหายให้เป้าหมายได้เท่ากับกระสุน.30คาร์บีน จะทำเช่นนี้ได้ปืนต้องฉกาจพอกับกระสุน และAR-10จากอาร์มาไลต์ยังไม่เคยทดสอบ

ผลการทดสอบเป็นไปตามคาด AR-10ลดขนาดกระสุนตามความคิดของไวแมน กระสุน5.56ม.ม.นั้นมากพอให้ทหารขนติดตัวได้อย่างอุ่นใจ ควบคุมทิศทางได้ง่าย จึงเบียดคู่แข่งจากFNและสปริงฟีลด์ตกขอบเข้าสู่การทดสอบใช้งานในสถานการณ์จริงด้วยชื่อใหม่ว่าAR-15 ปรับปรุงใหม่ให้เล็กและเบากว่าเดิมด้วยน้ำหนักเปล่า2.5ก.ก.และ2.7ก.ก.พร้อมกระสุน20นัด แต่ดูเหมือนจะมีมารผจญตลอดเวลากว่าจะได้ปืนดีๆสักกระบอก AR-15ลำกล้องระเบิดอีกระหว่างทดสอบกลางฝน เมื่อจะนำไปทดสอบในสภาพหนาวเย็นของอลาสกาสโตเนอร์จึงต้องตรวจสอบในฐานะผู้ออกแบบและให้เปลี่ยนชิ้นส่วน

 

AR-15 หรือ M-16


เมื่อถึงสนามจึงพบว่าปืนถูกประกอบผิดวิธีจึงเกิดปัญหาขึ้นอีก จะเป็นการวางยาหรือผิดโดยไม่ตั้งใจไม่มีใครทราบ ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือกองทัพปฏิเสธมันตั้งแต่ก่อนล้อเครื่องบินยังไม่ทันแตะพื้น ราวกับยังยึดติดอยู่กับกระสุนใหญ่อย่าง6.5ม.ม. พอเกิดเรื่องกับปืนทดสอบใช้กระสุนเล็กกว่าก็เลยไม่ฟังเสียง พลเอกแม็กซ์เวล เทย์เลอร์ผู้ดูแลโครงการขณะนั้นจึงสั่งให้ผลิตM14ต่อเนื่อง ระหว่างที่ยังหาปืนใหม่ทดแทนไม่ได้และที่เข้าทดสอบก็ยังให้ผลแบบผีเข้าผีออก


แต่ก็ใช่ว่ารายงานผลการทดสอบของAR-15จะมีแต่ด้านเลวร้าย จากบันทึกในการซ้อมรบที่นำทั้งปืนนี้,M14และAK47เข้าทดสอบ พบว่าข้อได้เปรียบตรงที่มันเล็กและเบาช่วยให้ทหารยิงได้คล่องและเร็ว ผลสรุปขั้นสุดท้ายคือชุดยิง8นายที่ใช้AR-15จะมีกำลังชนเท่ากับชุดยิง11นายที่ใช้M14เดิม มันให้ความมั่นใจในภาพรวมได้มากกว่าM14 กลไกขัดข้องและกระสุนขัดลำกล้องก็น้อยกว่าหลังจากยิงทดสอบไปแล้วหลายพันนัด บริษัทผลิตอาวุธแฟร์ไชลด์เห็นอนาคตของมันจึงตัดสินใจทุ่มงบ1.45ล้านดอลลาร์เป็นงบวิจัยและพัฒนา ก่อนจะขายสิทธิบัตรการผลิตต่อให้โคลต์ ไฟร์อาร์มผู้เชี่ยวชาญปืนเล็กในเดือนธันวาคม ค.ศ.1959 โดยหวังทำกำไรจากสวนแบ่งการขาย ปีถัดมาอาร์มาไลต์ปรับเปลี่ยนกลไกในองค์กร ยูจีน สโตเนอร์ผู้หวังติดตามความสำเร็จของAR-15จึงตามไปอยู่กับโคลต์



บริษัท Colt



หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมาได้ AR-15จึงได้เข้าประจำการเมื่อค.ศ.1964ในชื่อใหม่ว่าM16ปืนเล็กยาวเลือกระบบการยิงได้ ทำงานด้วยแก๊ซ ก่อนจะส่งเข้าสู่สมรภูมิเวียตนามเต็มรูปแบบในปี1966 ระหว่างกองทัพสหรัฐขยายตัวเพื่อยันคอมมิวนิสต์ช่วงสงครามเย็นและM14ผลิตได้ไม่พอความต้องการ M16รุ่นแรกเปิดตัวในเวียตนามแบบไม่น่าประทับใจ สภาพร้อนชื้นแถบนี้สร้างปัญหาให้ดินขับแบบเม็ดที่เยิ้มเหลวขัดลำกล้องบ่อย มีเสียงบ่นจากทหารว่ามันเบาจริง แบกกระสุนได้มากจริงแต่บอบบาง แช่น้ำแล้วยิงไม่ค่อยออก บางครั้งปืนก็ระเบิดใส่หน้าทหารถ้าไม่เขย่าน้ำออกให้หมด ถูกสบประมาทจากทหารกร้านศึกบ่อยๆว่าเป็น”ปืนเด็กเล่น”จากโครงสร้างอัลลอยผสมพลาสติกน้ำหนักเบา(พานท้าย,ด้าม,กระโจมมือ)


ปัญหาขัดลำกล้องและลำกล้องสึกหรอเร็วถูกแก้ด้วยการเปลี่ยนชนิดดินขับ เคลือบลำกล้องด้วยโครเมียม และปรับปรุงกลไกรับแรงสะท้อนในรุ่นใหม่กว่าคือM16A1(A1: first adjustment ปรับปรุงครั้งที่1)ที่ยังใช้กระสุน5.56ม.ม.เดิม เพิ่มแส้ทำความสะอาดลำกล้องและน้ำยาเก็บในพานท้าย ด้วยความมั่นใจว่าทหารจะใช้มันด้วยความปลอดภัย M16A1ล็อตแรกถูกผลิตจำนวนมากถึง840,000กระบอกให้กองทัพสหรัฐ ทหารอเมริกันและพันธมิตรได้ใช้มันเป็นหลักตลอดสงครามเวียตนาม และในความขัดแย้งครั้งต่อๆมาทั่วโลก


M16A4 ปืนรุ่นที่ใช้ในปัจจุบัน ใช้โดยนาวิกโยธินสหรัฐ

M4A1 ปืนที่ใช้ในสถานการณ์การรบในเมือง

แม้M16จะไม่สมบุกสมบันเท่าAK47 แต่เรื่องความแม่นยำมันไม่เป็นรอง กลไกภายในต้องได้รับการดูแลสม่ำเสมอโดยทหารที่ถูกฝึกตามระเบียบจึงจะใช้งานได้ดีเต็มร้อย เราจึงไม่ค่อยได้เห็นM16ในมือของกองกำลังจรยุทธ์ซึ่งอ่อนฝึกเน้นแต่ปริมาณและการยิงคลุมพื้นที่มากกว่าความแม่นยำ


ถึงปัจจุบันจะมีวัสดุใช้สร้างโครงปืนที่เบาและทนเช่นโพลิเมอร์ แต่ปืนตระกูลM16ยังรับใช้ในกองทัพสหรัฐฯและพันธมิตรแพร่หลายทั่วโลก ในงานแสดงอาวุธนานาชาติทั้งยูจีน สโตเนอร์ผู้ออกแบบM16 และมิคาอิล คาลาชนิคอฟผู้ให้กำเนิดAK47 ยังพบกันบ้างเป็นครั้งคราวในฐานะเพื่อนร่วมอาชีพ ทั้งสองไม่เคยโกรธเคืองขัดแย้งกันเลยแม้อาวุธจากสมองของทั้งคู่จะถูกใช้ประหัตประหารกันโดยนักรบอยู่คนละฝ่ายมานานปี


คลิบ Review M16A1 จากรายการ Discovery




เครดิต:พี่ สรศักดิ์ สุบงกช ( พี่โต ”สุดยอดแฟนพันธุ์แท้เครื่องบินรบ” )  มากๆครับ

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

AK-47 ปืนยอดนิยมของผู้ร้าย?

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าปืนเล็กยาวคืออาวุธประจำกายของทหารราบ ทหารต้องพึ่งพามันได้ยามเข้าสมรภูมิไม่ว่าภูมิประเทศและภูมิอากาศจะเป็นอย่างไร กลไกของปืนคู่กายต้องทำงานได้ดีไม่ติดขัด ความขัดข้องแม้เพียงน้อยนิดหมายถึงชีวิตของทหารผู้ถือปืนกระบอกนั้น หากมีใครตั้งคำถามว่ามีปืนเล็กยาวแบบนั้นอยู่ในโลกหรือเปล่า?

คำตอบก็คือมี และมีมาตั้งแต่ปีค.ศ.1947แล้วในชื่อAK-47 จากชื่อเต็มAvtomat Kalashnikova obraztsova :goda1947 ในชื่ออันคุ้นเคยว่า”อาก้า” ปืนเล็กยาวจากฝีมือการออกแบบของนายทหารชาวรัสเซียผู้ใช้นามสกุลของตนเป็นชื่อย่อของปืน ร้อยเอกมิคาอิล คาลาชนิคอฟ ก่อนจะแตกรุ่นออกไปมากมายและเป็นที่นิยมใช้ในกองทัพทั่วโลกถึงปัจจุบัน


                                                             ร้อยเอกมิคาอิล คาลาชนิคอฟ

ประวัติศาสตร์หน้าแรกของอาก้าเริ่มขึ้นในดินแดนของศัตรูเมื่อสงครามโลกครั้งที่2 จากการวิจัยของกองทัพบกเยอรมันที่พบว่าระยะยิงปืนเล็กยาวหวังผลได้ดีที่สุดคือ300เมตร ตรงนั้นคือระยะไกลที่สุดที่ทหารมองเห็นด้วยตาเปล่าและสามารถทำลายเป้าหมายได้ด้วยอาวุธประจำกาย นำกระสุนเข้าสนามรบได้อย่างพอเพียง เพื่อให้ใช้ปืนได้ง่ายมันต้องมีระบบการทำงานไม่ซับซ้อน มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเพื่อง่ายต่อการบำรุงรักษาในสนาม ผลการวิจัยของเยอรมันทำให้ต้องรื้อแนวความคิดในการสร้างอาวุธประจำกายทหารราบใหม่ทั้งหมดรวมถึงกระสุน เพื่อให้ยิงหวังผลได้ในระยะ300เมตร กระสุนเดิมขนาด7.92X57ม.ม.ของเมาเซอร์ที่ใหญ่และหนักเกินจำเป็นจึงถูกตัดท้ายให้สั้นลงเป็น7.92X33ม.ม.มีชื่อเล่นว่า”คูร์ซ”(Kurz) ผลพลอยได้คือราคาถูกลงและผลิตได้มากกว่า
ผลจากการวิจัยของเยอรมันทำให้เกิดปืนเล็กยาวเพื่อรองรับแนวความคิดและกระสุน “ชทวร์มเกแวร์44”(Sturmgewehr44 ชื่อเดียวกับMP44) โดยการนำข้อดีของปืนอีกสองสัญชาติมาดัดแปลงคือปืนเชอิ-ริก็อตตี(Cei-Rigotti)ของอิตาลีและเฟโดรอฟ อัฟโตมัต(Fedorov Avtomat)ของรัสเซียคู่สงครามในขณะนั้น แล้วผลิตออกมามากในปีค.ศ.1944 เพื่อส่งเข้าแนวรบด้านตะวันออกที่ตนกำลังเพลี่ยงพล้ำให้ยันการรุกของกองทัพแดง ถึงจะได้ชื่อว่าผลิตออกมามากเพราะสร้างได้เร็วจากเทคนิคการปั๊มโลหะขึ้นรูป แต่StG44ไม่สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามได้ เยอรมันแพ้สงครามในปีถัดมาก็จริง แต่รัสเซียได้รับผลกระทบจากปืนแบบนี้ไปเต็มๆเพราะถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดรวมทั้งที่ยึดได้อีกมาก
Sturmgewehr44 หรือ MP44 ของกองทัพเยอรมัน

โลกคงไม่รู้จักมิคาอิล คาลาชนิคอฟหากเขาเสียชีวิตในสมรภูมิเมืองไบรยันสก์ ปราการขวางกองทัพเยอรมันสู่กรุงมอสโกที่ทหารของกองทัพแดงถูกสังหารถึง80,000นายและอีก50,000ตกเป็นเชลย คาลาชนิคอฟได้รับบาดเจ็บที่นี่ระหว่างทำหน้าที่ผู้บังคับรถถังในกองพลยานเกราะที่12 ด้วยยศสิบเอกและการเผชิญหน้ากับเยอรมันด้วยยานเกราะและบางครั้งก็ปะทะกันแบบทหารราบ คาลาชนิคอฟจึงเข้าใจดีถึงความต้องการอาวุธประจำกายของทหาร เขาเบนเข็มจากทหารในหน่วยรบสู่นักออกแบบและพัฒนาอาวุธหลังออกจากโรงพยาบาล ด้วยความคิดว่าจะนำประสบการณ์และความรู้ของตนมาช่วยกองทัพ ให้ทหารมีอาวุธดีๆใช้และกองทัพแดงไม่เป็นรองใคร

อาวุธประจำกายพลิกประวัติศาสตร์ฝีมือมิคาอิล คาลาชนิคอฟจึงเกิดขึ้น จากแนวความคิดให้ตอบสนองความต้องการของทหารราบมากที่สุด ต้องผลิตได้เร็ว มาก ยิงแม่นพอประมาณด้วยกระสุน7.62X39 ม.ม.ที่เล็กกว่าแต่ให้แรงขับมากกว่ากระสุนต้นแบบของเยอรมันเล็กน้อย ทหารถอดทำความสะอาดได้รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ใช้งานได้ในทุกภูมิประเทศและภูมิอากาศ เมื่อปืนเล็กยาวและปืนกลมือในขณะนั้นต่างก็มีข้อดีแตกต่างไป ปืนของคาลาชนิคอฟจึงเกิดจากการนำข้อดีของปืนเหล่านั้นมารวมกัน ด้วยเดือยล็อกลำกล้องคู่จากM1”กาแรนด์”(Garand)ของสหรัฐ เรือนเครื่องลั่นไกและกลไกนิรภัยจากปืนเล็กยาวเรมิงตันโมเดล8 และระบบการทำงานด้วยแก๊ซกับรูปแบบการวางเรียงชิ้นส่วนจากStG44ของเยอรมัน ระบบทั้งหมดถูกนำมายำโดยไม่ต้องคิดค้นอะไรใหม่ให้มากความ

                                             
AK-47 ในตอนหลังได้แตกรุ่นออกไปได้อีกมากมาย

งคาลาชนิคอฟจะบอกว่าไม่ได้เอาแนวคิดของเยอรมันมาใช้(เพราะตอนนั้นเป็นศัตรูกัน ใครจะไปยอมรับว่าปืนของข้าศึกดีกว่าจนต้องลอกเลียน) แต่หลักฐานที่ปรากฏนั้นเป็นไปคนละทิศละทาง AK-47 คล้ายคลึงกับStG44เหมือนปืนแบบเดียวกันแต่แตกรุ่น ด้วยพานท้ายไม้ลาดต่ำ โครงปืนเหล็กปั๊มขึ้นรูป ซองกระสุนโค้งเพื่อจุกระสุนได้มาก ทำงานด้วยแรงดันแก๊ซผลักลูกเลื่อนถอยหลังคัดปลอก มีคันบังคับการยิงอยู่ด้านขวาของตัวปืนเหมือนกัน

ทั้งที่ปืนเล็กยาวของค่ายตะวันตกและสหรัฐต่างวางตำแหน่งกึ่งอัตโนมัติ(semi)ให้เลือกยิงได้ก่อนอัตโนมัติ(auto) แต่คาลาชนิคอฟกลับเลือกระบบการยิงของปืนตนเองกลับข้างกัน ให้เลือกยิงอัตโนมัติได้ก่อนผลักสวิทช์ไปยิงกึ่งโนมัติ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้กลุ่มกระสุนกดหัวข้าศึกไว้ก่อนแล้วจึงเปลี่ยนระบบการยิง! เป็นการเลือกระบบการยิงที่ฉลาดและเป็นไปตามสถานการณ์จริง เมื่อเกิดเหตุคับขันทหารมักจะเลือกยิงอัตโนมัติให้กลุ่มกระสุนกดหัวฝ่ายตรงข้ามไว้ ก่อนจะเข้าที่กำบังและเล็งประณีตต่อด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ

ส่วนประกอบที่ง่ายต่อการใช้งาน

แนวความคิดเริ่มต้นของAK-47เกิดขึ้นในปลายปีค.ศ.1941จริง แต่กว่าจะพัฒนาและทดสอบจนพอใจได้ก็ล่วงถึงค.ศ.1944 กว่าจะชนะการประกวดให้เป็นปืนในโครงการทดลองของกองทัพโซเวียตได้ยังต้องใช้เวลาอีกสองปีและถัดมาอีกปีคือค.ศ.1947 มันจึงได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธประจำกายทหารบางหน่วย ก่อนจะประจำการในฐานะอาวุธพื้นฐานของทหารราบทั้งหมดของโซเวียตในปีค.ศ.1949 ตามด้วยกลุ่มประเทศกติกาสัญญาวอร์ซอว์และบริวาร มีให้เลือกทั้งแบบพานท้ายไม้ปกติสำหรับหน่วยรบภาคพื้นดิน และพานท้ายเหล็กพับเก็บได้เพื่อความคล่องตัวสำหรับทหารประจำยานรบและหน่วยรบพิเศษ ก่อนจะแตกรุ่นและแบบออกไปอีก

ความโดดเด่นของAK-47นอกจากที่กล่าวข้างต้น คือมันราคาถูก ถอดรื้อทำความสะอาดชิ้นส่วนง่ายแม้ทหารสวมถุงมือ เพื่อตอบสนองความต้องการของทหารโซเวียตที่ประจำการในเขตอากาศหนาวของรัสเซียและขั้วโลกเหนือส่วนใหญ่ การสร้างให้ลูกสูบใหญ่มีช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนเคลื่อนไหวหลวมๆและปลายปลอกกระสุนเรียวแหลม(เป็นเหตุให้ต้องสร้างซองกระสุนโค้งรับสรีระของกระสุน) ทำให้ปืนทนทานต่อสิ่งแปลกปลอมที่พยายามแทรกตัวเข้าสู่กลไก มันจึงทำงานได้เป็นปกติแม้หลังจากแช่น้ำ หมกโคลน หรือฝังทรายไว้ครั้งละหลายวันบางครั้งนานเป็นเดือน ขุดขึ้นมายิงกลไกยังทำงานได้เรียบร้อยเหมือนใหม่!

ทั้งที่ดูแลง่าย ซ่อมง่าย ทนทานไม่เกี่ยงลมฟ้าอากาศ แต่AK47ก็มีจุดอ่อนคือความแม่นยำต่ำ เป็นผลจากการประกอบชิ้นส่วนไว้หลวมๆ แสดงถึงแนวความคิดของทหารราบโซเวียตขณะนั้น ที่มุ่งใช้ปืนเล็กยาวยิงกดเพื่อคลุมพื้นที่เป็นหลักก่อนการเคลื่อนที่ของหน่วยรบ และเป็นไปตามหลักนิยมของกองทัพโซเวียตตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่2ที่ว่า”ปริมาณคือคุณภาพ” ปรัชญานี้สะท้อนให้เห็นด้วยการเน้นปริมาณยุทโธปกรณ์แบบต่างๆนอกจากปืน เช่นรถถัง เครื่องบินรบ เรือดำน้ำและอื่นๆ ประมาณว่าปัจจุบันมีAK-47อยู่กว่าร้อยล้านกระบอกทั่วโลกทั้งจากโรงงานในโซเวียต(ในอดีต)และรัสเซีย(ปัจจุบัน) เฉพาะที่มีซีเรียลนัมเบอร์จากโรงงานในรัสเซียประมาณ10ล้านกระบอก นอกเหนือจากนั้นคือการผลิตภายใต้สิทธิบัตรในจีน,ยูโกสลาเวีย,สาธารณรัฐเช็คและรัฐที่เคยอยู่ใต้อานัติของโซเวียต
AK-47 ปืนที่ได้รับความนิยมจากผู้ร้าย

ปัจจุบันนอกจากรัสเซีย,จีนและประเทศในกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอว์ AK-47ยังมีใช้งานในกองทัพทั่วโลก ที่พบเป็นหลักคือเป็นอาวุธประจำกายของกองโจรต่างๆและผู้ก่อการร้ายโดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง เป็นที่นิยมเพราะลูกสูบของปืนแบบนี้ไม่กลัวทราย ใช้งานในทะเลทรายได้โดยไม่ต้องปรนนิบัติมาก ใครที่เคยสัมผัสAK-47จริงๆมาแล้วจะพบว่าหลังจากเปิดโครงปืนด้านบนดูกลไกแล้ว แทบไม่พบชิ้นส่วนเคลื่อนไหวใดๆเลย มันประกอบขึ้นด้วยเหล็กเพียงไม่กี่ชิ้น สปริง ลูกสูบและลำกล้องแต่ใช้งานได้ไหลลื่นไม่ติดขัด เพราะความง่ายนี้เองกองกำลังส่วนใหญ่ที่ไม่เน้นการฝึกยุทธวิธีจริงจังแต่เน้นปริมาณหน่วยติดอาวุธ จึงนึกถึงมันก่อนปืนแบบอื่น

                                                  
AK-47 ง่ายต่อการใช้งานขนาดเด็กก็ยังสมารถใช้งานได้

ในตลาดอาวุธปัจจุบันนี้ถือว่าAK-47เป็นที่ต้องการของนักรบและนักสะสม ราคาค่างวดของมันมีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนถึงหลักแสนดอลลาร์ AK-47เคลือบทองคือปืนประจำตัวของซัดดาม ฮูเซ็น ส่วนรุ่นลำกล้องตัดสั้นพับฐานคือปืนที่เห็นได้บ่อยๆในภาพข่าววิดีโอของโอซามา บิน ลาเด็น ที่ปรากฎเป็นฉากหลังของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายตัวกลั่นคนนี้บ่อยจนกลายเป็นเครื่องหมายการค้า ย้ำเตือนให้นึกถึงกลุ่มอัล-ไคดา,กองกำลังทาลีบันและความรุนแรงอื่นๆในตะวันออกกลาง ถ้าเข้าช่องทางถูกถึงไม่ใช่ทหารก็อาจหาซื้อมันได้แถบตะเข็บชายแดน ในราคาเพียงกระบอกละ2,000-5000บาทตามสภาพ

AK-47จึงเป็นอาวุธประจำกายทหารราบจริงๆเท่าที่โลกเคยรู้จัก เล็งง่าย ยิงง่าย แทบไม่ต้องดูแลรักษานอกจากถอดชิ้นส่วนมาหยอดน้ำมันและเช็ดเป็นครั้งคราว คว้าขึ้นมาดึงคันรั้งลูกเลื่อนแล้วยิงได้เลยแทบไม่ต้องคิด อายุใช้งานแต่ละกระบอกยาวนาน20-40ปี!
คุณสมบัติของปืนดังกล่าวนั้นถือว่าไม่เกินจริงเลย เมื่อวัดจากปริมาณอันมหาศาลของมันในกองทัพทั่วโลก เป็นปืนของทหารราบ เพื่อทหารราบ ออกแบบโดยทหารแท้ๆ ตอกย้ำความหมายนี้หนักแน่นด้วยคำพูดของมิคาอิล คาลาชนิคอฟครั้งหนึ่งว่า”ทหารโซเวียตหลายคนเคยถามผมเรื่องการออกแบบและสร้างปืนใหม่ขึ้นมา เป็นคำถามที่ตอบยากเพราะปืนแต่ละแบบย่อมมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกได้คือก่อนจะสร้างปืนใหม่ขึ้นมาสักแบบ การเข้าใจระบบการทำงานของปืนเก่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ประสบการณ์หลายๆครั้งของผมได้แสดงให้เห็นแล้วว่าจริง”
คำพูดของคาลาชนิคอฟเป็นจริงหรือไม่ ประวัติอันโชกโชนของ”อาก้า”ได้พูจน์ตัวเองชัดแล้ว

คลิบแนะนำ AK-47 จากรายการ Discovery


เครดิต : พี่ สรศักดิ์ สุบงกช ( พี่โต ”สุดยอดแฟนพันธุ์แท้เครื่องบินรบ” ) ขอบคุณมากๆครับ